ประกันชีวิตแบบเบี้ยประกันคงที่และแบบเบี้ยประกันผันแปรต่างกันอย่างไร
ในการทำประกันแต่ละครั้ง นอกจากเลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการแล้ว การทำความเข้าใจเงื่อนไขที่อยู่ในกรมธรรม์ก็มีความสำคัญ และหนึ่งในเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก็คือเบี้ยประกัน ซึ่งในวันนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเบี้ยประกันสองประเภท คือ เบี้ยแบบคงที่ และ เบี้ยแบบผันแปร
ความแตกต่างระหว่างเบี้ยประกันคงที่และเบี้ยประกันผันแปร
เบี้ยประกันคงที่ (Fixed Premium) หมายถึง ประกันชีวิตที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยในจำนวนเท่าเดิมทุกปี โดยที่ค่าเบี้ยจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาการทำประกัน ถือเป็นเบี้ยประกันที่ไม่มีความซับซ้อน เพราะผู้เอาประกันรู้ตั้งแต่ต้นว่าต้องจ่ายเบี้ยเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตเมื่อมีความเสี่ยงเข้ามาแล้วเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลง ส่วนใหญ่แล้วแผนประกันชีวิตแทบทุกประเภทที่เข้าข่ายเบี้ยประเภทนี้ เช่น แผนประกันชีวิตที่ระบุระยะเวลาคุ้มครองแน่นอน
ส่วนเบี้ยประกันผันแปร คือ ประกันชีวิตที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยตามอัตราที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ โดยเบี้ยประกันผันแปรจะใช้กับประกันสุขภาพเท่านั้น ซึ่งจะมีการปรับค่าเบี้ยเพิ่มขึ้นเมื่ออายุลงท้ายด้วย 6 หรือ 9 เช่น มีการปรับเบี้ยเพิ่มเมื่ออายุ 26 , 29 , 36 , 39 , 46 , 49 , 56 , 59 ปี เป็นต้น
ข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภท
เบี้ยประกันแบบคงที่ มีข้อดีคือวางแผนการเงินได้ง่าย เพราะรู้แต่แรกว่าตลอดอายุสัญญาจะต้องจ่ายค่าเบี้ยปีละเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวลว่าเมื่ออายุมากขึ้นหรือเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อแล้วจะต้องจ่ายค่าเบี้ยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามข้อเสียของเบี้ยประกันประเภทนี้ก็มีเช่นกัน โดยเบี้ยอาจสูงกว่าในระยะยาว เนื่องจากบริษัทประกันต้องการให้มีความมั่นคงในการจ่ายเบี้ย ดังนั้นค่าเบี้ยประกันอาจจะสูงกว่าประกันประเภทอื่น ๆ ในช่วงแรก นอกจากนี้ก็ยังไม่มีโอกาสในเรื่องของการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะรายละเอียดผลตอบแทนจะสัมพันธ์กับเบี้ยที่จ่าย ซึ่งทางบริษัทประกันจะแจ้งผลตอบแทนในกรมธรรม์อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน
สำหรับเบี้ยประกันแบบผันแปร มีข้อดีคือมีความคุ้มครองด้านสุขภาพให้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นโรคแล้ว ซึ่งการปรับค่าเบี้ยประกันตามหลักอายุที่ได้แจ้งไปเบื้องต้นนั้นย่อมล้อไปตามสถานการณ์ค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาที่ย่อมสูงขึ้นเป็นปกติรวมถึงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยอะขึ้นเมื่อสูงวัย อย่างไรก็ตามหากต้องการจะซื้อประกันสุขภาพควรเริ่มซื้อตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะค่าเบี้ยถูก อีกทั้งยังไม่มีโรคร้ายแรง การทำประกันสุขภาพจึงทำได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการทำประกันสุขภาพในอายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงเป็นโรคสูงขึ้น และต้องจ่ายค่าเบี้ยแพงกว่า
วิธีเลือกแผนประกันที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณ
อันดับแรก ต้องประเมินความสามารถทางการเงิน เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะการทำประกันชีวิต จะต้องจ่ายเบี้ยระยะยาว คุณจึงจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจ่ายเบี้ยไหวในอัตราเท่าไหร่ แม้จะเป็นการจ่ายรายปี แต่การเริ่มต้นประเมินจากรายได้ต่อเดือนก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เช่น หากจ่ายเบี้ยปีละ 3 หมื่นบาท ก็ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าหากเก็บเงินเดือนละ 2500 บาท เพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกัน ตรงนี้จะมีผลกับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันหรือไม่ เมื่อได้คำตอบในส่วนนี้แล้ว ต่อมาคือต้องตอบให้ได้ว่าเราต้องการอะไรจากแผนประกัน เพราะจุดเด่นหนึ่งของประกันชีวิตคือมีหลายประเภทให้เลือก เช่น
เมื่อรู้ทั้งความสามารถทางการเงินและความต้องการแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ควรทำคือเปรียบเทียบประกันจากหลาย ๆ ที่ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะบางครั้งด้วยค่าเบี้ยที่ต่างกันไม่มาก อาจทำให้คุณได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่า ทุกวันนี้การเปรียบเทียบแผนประกันสามารถทำได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่า
หากคุณเปรียบเทียบแผนประกันจากหลาย ๆ ที่ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ รวมถึงมีการประเมินความสามารถทางการเงินและรู้ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร หากทำได้ตามนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกประกันชีวิตแบบไหน และไม่ว่าประกันชีวิตที่คุณเลือกจะมีเงื่อนไขเบี้ยแบบคงที่หรือผันแปร ก็มั่นใจได้เลยว่าแผนประกันนั้นจะให้ความคุ้มค่ากับคุณ
ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ