แอโรบิค ช่วยลดเสี่ยงมะเร็ง
ณ เวลานี้ศิลปินแร็พเปอร์สาว (MILLI) ได้จุดกระแสเต้น แอโรบิค ขึ้นกลางคอนเสิร์ตบนเวทีระดับโลก (Coachella) อีกครั้งหลังจากที่มีกระแสข้าวเหนียวมะม่วงไปได้ไม่นาน และนี่ถือเป็นอีกครั้งที่มีการสร้างซอฟเพาเวอร์ ในการออกกำลังกายเกิดขึ้น จนกระแสในวงการแอโรบิคเกิดเสียงฮือฮาอีกครั้ง แต่แท้จริงแล้วแอโรบิคคืออะไร มีข้อดีอะไรบ้าง และแอโรบิคสามารถป้องกันมะเร็งทั้งก่อนเป็น และหลังเป็นได้อย่างไรบ้าง วันนี้ TPIS จะมาให้คำตอบและข้อเท็จจริงกันครับ
แอโรบิค (Aerobic) คืออะไร
ออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic Exercise) คือ การออกกำลังกายที่ต้องหายใจ และออกกำลังกายไปด้วย เพื่อให้ออกซิเจนที่หายใจเข้าไปช่วยเผาผลาญ ไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต ในร่างกาย โดยการออกกำลังกายแอโรบิคสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- กระโดดเชือก
- เดิน
- ว่ายน้ำ
- ปั่นจักรยาน
- เต้น
- การออกกำลังกายอื่นๆ ที่ใช้การหายใจขณะออกกำลังอยู่ก็นับเป็นแอโรบิคทั้งหมด
แอนแอโรบิค (Anaerobic) คืออะไร
ออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic) คือ การออกกำลังกายที่ไม่ต้องการออกซิเจน และเป็นการออกกำลังกายในช่วงสั้นๆ จะทำให้เผาผลานคาร์โบไฮเดรตในร่างกายอย่างรวดเร็ว และหลังจากออกกำลังกาย ร่างกายจะทำการเผาผลานไขมันต่ออีกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ยกน้ำหนัก
- โยคะ
- วิ่งระยะสั่น
- การออกกำลังกายอื่นๆ ที่ใช้เวลาสั้น และใช้ออกซิเจนน้อยก็ถือว่าเป็นแอนแอโรบิค
ข้อดีและข้อแตกต่าง แอโรบิค และ แอนแอโรบิค
สำหรับการออกกำลังกายทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าข้อดีของการออกกำลังกายแบบแอโรบิค และแอนแอโรบิคแตกต่างอย่างไร โดยขอเริ่มจากแอโรบิค (Aerobic) ก่อนนะครับ
ข้อดีแอโรบิค (Aerobic)
- ลดความเครียด
- ลดความดันโลหิต
- ลดไขมันเสียในร่างกาย
- ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
- ลดโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อม
- ลดโอกาสเกิดโรคเรื้อรัง และโรคร้ายแรง
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ระบบการทำงานของหัวใจดีขึ้น
หลังจากที่รู้ข้อดีของแอโรบิคแล้ว มาดูข้อดีของการออกกำลังการแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic) กันบ้างว่ามีข้อดีอะไร
ข้อดีแอนแอโรบิค (Anaerobic)
- เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย
- เพิ่มกล้ามเนื้อ
- เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
- ลดไขมัน
ซึ่งโดยปกติแล้วการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคนั้น จะค่อนข้างเหนื่อยและใช้ร่างกายอย่างหนัก จึงไม่เหมาะแก่การดูแลรักษาหรือป้องกันโรคมะเร็งสักเท่าไหร่ แต่ถ้าตั้งใจจะลดน้ำหนักเป็นหลักการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิคจะได้ผลดีกว่า
อยากเริ่มเต้นแอโรบิคทำอย่างไร
หากเราอยากจะออกกำลังกายแอโรบิค ควรทำให้ครบทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายและผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งการแอโรบิคมี 3 ขั้นตอนดีงนี้
- อบอุ่นร่างกาย 5 – 10 นาที บริหารร่างกายเบาๆ ค่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ ของร่างกาย เตรียมความพร้อมก่อนออกกำลังกายขั้นถัดไป
- ออกกำลังกายแอโรบิค 10 – 40 นาที บริหารร่างกายตามโปรแกรมที่วางแผนไว้ ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มกล้ามเนื้อ ลดน้ำหนัก เพิ่มภูมิคุ้มกัน บริหารร่างกาย
- ผ่อนคลายออกกำลังกายช้าๆ 5-10 นาที บริหารเบาๆ ให้กล้ามเนื้อคลายตัว ไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเครียด หรือเหนื่อยล้าเร็วเกินไป ค่อยหยุดออกกำลังกาย
แอโรบิคป้องกันมะเร็งได้อย่างไร?
- ลดน้ำหนัก ทำให้ไม่อ้วน เพราะการมีน้ำหนักตัวมาก อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้หลายชนิด มิหนำซ้ำการเป็นมะเร็งในขณะที่มีน้ำหนักตัวมาก อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น และในผู้ป่วยมะเร็งที่มีน้ำหนักตัวมาก มักมีโอกาสรอดชีวิตน้อยลงอีกด้วย
- ลดฮอร์โมน ที่ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม เพราะ เวลาออกกำลังกายโดยเฉพาะแอโรบิคจะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นตัวกระตุ้นมะเร็งเต้านมต่ำลง และ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้
- ลดอินซูลิน เพราะ การออกกำลังกายจะช่วยลดอินซูลิน ที่ทำให้เกิดการเติบโตและเกิดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และยังสามารถลดการเกิดโรคเรื้อรังได้อีกด้วย
- ลดความเสียหายของเม็ดเลือดขาว เพราะ การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการหมุนเวียนออกซิเจนให้เม็ดเลือดขาวทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงและมีจำนวนเพิ่มขึ้น
- ลดการสะสมของเสียในร่างกาย เพราะ ถ้าร่างกายได้ขยับ ได้ออกกำลังกาย จะสามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นและช่วยป้องกับมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้
หากเป็นโรคมะเร็งควรแอโรบิคอย่างไร
- หากภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรออกกำลังกายหรือแอโรบิคในที่สาธาณะ เพราะอาจติดเชื้อได้ง่าย ทั้งทางอากาศและผู้คนในที่สาธาณะ
- หากมีอาการอ่อนแรง ไม่ควรออกกำลังกายหนัก แต่สามารถยืดเส้นเล็กๆ น้อยๆ วันละ 10 – 15 นาที เมื่อร่างกายปรับสภาพได้จึงค่อยๆ เพิ่มเวลาออกกำลังกายได้
- หากมีอาการของระบบประสาท ไม่ควรรีบลุก หรือเดิน เพราะอาจบาดเจ็บจากการล้มได้ ควรหากิจกรรมหรือการออกกำลังกายอยู่กับที่ก็เพียงพอแล้ว
- หากมีโรคที่เกี่ยวกับโลหิตจาง สามารถออกกำลังได้ แต่ถ้ามีอาการโลหิตจางรุนแรง ห้ามออกกำลังกายเด็ดขาด และขยับตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะอาจมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ง่าย
- หากใช้รังสีในการรักษา ไม่ควรออกกำลังกายโดยการว่ายน้ำเพราะ คลอรีน ทำให้ผิวแห้ง คัน และเกิดตกสะเก็ดได้
สรุป
การออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพเราควรเตรียมตัว อบอุ่นร่างกายให้พร้อม และหาแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะจะทำให้เรามีจิตใจแจ่มใส อารมณ์ดีขึ้น ขณะออกกำลังกาย แต่ถ้าเราออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว ยังกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตเพื่อให้มีค่ารักษาเพียงพอ ด้วยความห่วงใยจาก TPIS ครับ