7 วิธีดูแลรถกระบะง่ายๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง

7 วิธีดูแลรถกระบะง่ายๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง

รถกระบะ เป็นยานพาหนะหนึ่งในรถยอดนิยมสำหรับคนไทย เพราะใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเพื่อการโดยสาร , ขนของและสัมภาระ , ใช้ทำเป็นรถบ้าน , บรรทุกสินค้า หรือลากจูง ทำให้หลาย ๆ บ้านเลือกที่จะใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะหลัก การดูแลรถกระบะให้คงสภาพดีและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างยาวนานนั้น สิ่งสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควรใส่ใจคือการดูแลที่เหมาะสม จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง .. ต่อไปนี้คือ 7 วิธีง่ายๆ เพื่อดูแลรถกระบะของคุณที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

1.ทำความสะอาดล้างรถสม่ำเสมอ

ทำความสะอาดล้างรถสม่ำเสมอ

การล้างรถเป็นประจำจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและคราบต่าง ๆ ออกได้ พร้อมยังช่วยให้คุณได้สังเกตริ้วรอยต่าง ๆ รอบตัวรถได้ง่ายขึ้น หากพบรอย หรือคราบฝังแน่น ควรรีบหาวิธีเพื่อทำความสะอาดหรือซ่อมแซม เช่น คราบยางมะตอย , รอยขนแมว เพราะหากปล่อยไว้นาน ๆ ปัญหาจุดเล็ก ๆ เหล่านี้อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่ขึ้น เช่น เกิดสนิมที่เนื้อใน ทำให้ต้องเสียเงินก้อนใหญ่อย่างน่าเสียดาย พร้อมกันนี้อย่าลืมที่จะลงแว็กซ์ หรือน้ำยาเคลือบสีรถเพื่อให้รถดูสวย สดใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ สำหรับน้ำยาหรือโฟมล้างรถ ควรเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้สูตรที่ถนอมผิวรถ ไม่กัดสี

2.ตรวจเช็คของเหลวในรถยนต์

ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ที่ควรดูแลและเอาใจใส่ ได้แก่ น้ำมันเครื่อง , น้ำหล่อเย็น , น้ำมันเบรก และน้ำฉีดกระจก ของเหลวเหล่านี้มีความสำคัญต่อการทำงานของรถ นอกจากนี้ยังมีน้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า แต่ควรได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาอยู่เสมอด้วยการเปลี่ยนตามระยะทางตามที่คู่มือรถกำหนดมา ในส่วนของน้ำมันเครื่องรถยนต์ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ หรือน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ ซึ่งจะช่วยลดการเสียดสีของเครื่องยนต์ได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา

3.เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศรถกระบะมีหน้าที่ช่วยกรองสิ่งสกปรกและเศษต่าง ๆ ออกจากอากาศก่อนที่จะเข้าสู่เครื่องยนต์เพื่อที่จะได้มีอากาศที่สะอาดในการเข้าไปช่วยในการเผ่าไหม้เครื่องยนต์ ไส้กรองอากาศที่อุดตันจะลดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ และทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น จึงควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นประจำตามคำแนะนำในคู่มือรถยนต์ ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร และควรถอดออกมาทำความสะอาดทุก ๆ 5,000 – 7,000 กิโลเมตร หรืออาจเปลี่ยนและทำความสะอาดให้ไวขึ้นตามสภาพการใช้งาน โดยเฉพาะหากต้องวิ่งทางฝุ่นอยู่เป็นประจำ

4.ตรวจเช็คเครื่องยนต์

ตรวจเช็คเครื่องยนต์

การตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นประจำจะช่วยให้คุณตรวจพบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มต้น เช่น

  • สายพานและท่อ ควรตรวจสอบสายพานแล้วพบว่ามีรอยแตกร้าวหรือสึกหรอหรือไม่
  • ตรวจสอบท่อว่ามีรอยรั่วหรือบวมหรือไม่
  • การตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ว่ามีการกัดกร่อนหรือหลวมหรือไม่
  • เช็คระดับน้ำกลั่นอยู่ในระดับปกติหรือไม่
  • ตรวจสอบหัวเทียนว่ามีการสึกหรอหรือเขม่าเกาะหรือไม่

เพราะหากเครื่องยนต์ที่ไม่ได้รับการตรวจเช็กปัญหาที่จะตามมา ได้แก่ เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ , เครื่องยนต์ดับ , สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น , ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาที่สูงขึ้น และสุดท้ายอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ลดลง ซึ่งการตรวจเครื่องยนต์และส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อหาสัญญาณของการสึกหรอหรือความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

5.ดูแลห้องโดยสารคราบฝุ่นละออง

หลังจากล้างรถเสร็จแล้ว ควรทำความสะอาดห้องโดยสารด้วยทุกครั้ง และควรทำความสะอาดอยู่เป็นประจำเพื่อให้ห้องโดยสารรถยนต์ของคุณมีความสะอาด ปราศจากกลิ่นอับชื้น ลดการสะสมของฝุ่นละอองและเชื้อโรค คุณสามารถทำความสะอาดห้องโดยสายด้วยการใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อสร้างบรรยากาศภายในรถให้คุณรู้สึกสบาย สะอาด สดชื่น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศภายในรถ ควรล้างอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร และเลือกใช้วิธีการลดกลิ่นอับภายในรถด้วยวิธีการทางธรรมชาติ เช่น การใช้ถ่านลดความชื้นและกลิ่นอับ , ใบเตยสดเพิ่มความสดชื่นและควรเปลี่ยนบ่อย ๆ หรืออาจจะเลือกใช้วิธีการอบโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยอาจเลือกทำปีละครั้ง หรือตามความเหมาะสม

6.บรรทุกของให้เหมาะสมกับคู่มือรถกำหนด

แม้รถกระบะจะขึ้นชื่อว่าเป็นรถเอนกประสงค์ สามารถที่จะบรรทุกสิ่งของต่าง ๆ ได้ แต่ควรตรวจสอบคู่มือถึงความสามารถในการบรรทุกว่ามีขีดจำกัดในการบรรทุกสูงสุดอยู่ที่เท่าใด และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากความสามารถของรถในการบรรทุกหนักแล้ว อย่าลืมที่จะตรวจสอบความสามารถในการบรรทุกของยางรถยนต์รวมถึงการเติมลมยางที่เหมาะสมด้วย เพื่อที่จะได้มั่นใจว่ายางรถยนต์จะไม่ระเบิดระหว่างการบรรทุกสิ่งของ

7.ตรวจเช็กลมยางเสมอ

ตรวจเช็กลมยางเสมอ

ลมยางที่อ่อนเกินไปนอกจากจะเป็นสาเหตุของการระเบิดของยางแล้ว ยังทำให้เกิดการสึกหรอและสิ้นเปลืองงบประมาณได้ เพราะแรงดันลมที่อ่อนจะทำให้ยางสัมผัสกับพื้นถนนมากเกินไป ทำให้เกิดการสึกหรอที่ด้านข้างของยาง นอกจากนี้ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะยางที่อ่อนจะเพิ่มแรงต้านการหมุน ทำให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการขับเคลื่อนรถ เมื่อยางอ่อนสิ่งที่ตามมาก็คือประสิทธิภาพในการควบคุมรถที่ลดลง เพราะแรงดันลมที่อ่อนจะทำให้ยางย้วยและตอบสนองช้าลง ส่งผลต่อการควบคุมรถนั่นเอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการขับขี่มาก

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 7 วิธีดูแลรถกระบะง่าย ๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง การดูแลรถยนต์ เจ้าของรถควรทำเป็นประจำ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้รถมีความสะอาดแล้ว ยังช่วยป้องกันค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นหากเกิดความเสียหายจากอะไหล่ที่ชำรุด ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ