9 สิ่งที่ควรเช็ค หลังใช้รถเดินทางไกล
ทุกเทศกาลหยุดยาว หลาย ๆ คนคงใช้รถมาอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด หรือขับรถไปเที่ยวไกล ๆ เพื่อพักผ่อนวันหยุดยาว แต่หลังจากพักผ่อนแล้วก็อย่าลืมเช็คสภาพรถด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องมากังวลกับปัญหารถเสียในภายหลัง ซึ่งวันนี้เรามีวิธีตรวจเช็ครถหลัง ขับรถทางไกลมาฝากทุกคนกันครับ
1. เช็คแบตเตอรี่รถยนต์
หัวใจหลักของการสตาร์ทเครื่องยนต์ คือ แบตเตอรี่ ตรวจดูสภาพของแบตเตอรี่ ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ หมั่นตรวจเช็คทำความสะอาดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบต เช็คระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด ตรวจสอบความแน่นของขั้วแบต และฉนวนหุ้มสาย
2. เช็คล้อและยางรถยนต์
เป็นอีกจุดที่เช็คได้ง่าย และสำคัญมาก ๆ เพราะ อุบัติเหตุส่วนหนึ่งบนท้องถนน เกิดจากยางระเบิดขณะขับขี่ ดังนั้นยางที่ดีต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลายงา มีดอกยางเพียงพอ เติมลมยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนด ส่วนล้อก็ควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่คด ไม่เบี้ยว และอย่าลืมขันน็อตล้อให้แน่นด้วยล่ะ
3. เช็คช่วงล่างรถยนต์
ตรวจเช็คช่วงล่างด้วยการขับบนถนนเรียบ ลองสังเกตพวงมาลัยว่าตรงไหม หากพวงมาลัยไม่ตรงก็ควรนำรถไปตั้งศูนย์ใหม่ นอกจากนั้นควรตรวจเช็กชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างด้วย เช่น ลูกหมากมีเสียงกุกกัก ก็รีบให้ช่างแก้ไขโดยด่วน โช๊คก็เช่นกัน ควรตรวจเช็คคราบน้ำมันบริเวณแกนโช๊ค ว่ารั่วไหม เพราะระบบช่วงล่างทั้งหมดมีผลต่อการทรงตัวขณะขับขี่
4. เช็คระบบเบรกรถยนต์
หลายท่านเข้าใจว่าหากน้ำมันเบรกหาย เราต้องเติมน้ำมันเบรกเพื่อให้อยู่ในระดับปริมาณที่พอดี แต่ท่านทราบไหมว่าระบบเบรกความเป็นจริงแล้วคือระบบปิด ความหมายก็คือน้ำมันเบรกจะอยู่แต่ภายในระบบเบรก จะไม่มีการระเหยเหมือนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผ้าเบรกไม่สึก หรือไม่มีจุดไหนรั่ว น้ำมันเบรกจะไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ ดังนั้นหากน้ำมันเบรกลดลง อย่าเพิ่งรีบเติม แต่ควรหาสาเหตุที่ทำให้น้ำมันเบรกลดลงก่อน
5. เช็คระบบไฟรถยนต์
ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉินจะต้องใช้งานได้ครบทุกจุด แสงสว่างจะต้องคมชัด ไม่มัว ยิ่งเดินทางในช่วงกลางคืนระบบไฟส่องสว่างถือว่าจำเป็นมาก
6. น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องถือเป็นสิ่งที่จำเป็นของระบบกลไกต่างๆ ในเครื่องยนต์ ประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องที่ดี จะต้องผ่านการใช้งานไม่เกินระยะทางที่คู่มือกำหนด ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเราสามารถตรวจเช็คได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่อง และขณะเดินทางควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อไว้ยามฉุกเฉิน
7. เช็คหม้อน้ำ ท่อยาง และ ระบบหล่อเย็นรถยนต์
ระบบระบายความร้อน ถือเป็นอีกหัวใจหลักของเครื่องยนต์ เพราะ ความร้อนสะสมในเครื่องยนต์ และความร้อนภายนอก อาจทำให้เครื่องยนต์น็อคได้ ดังนั้นเราควรเช็คระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักและหม้อน้ำ เช็คการทำงานของพัดลมหม้อน้ำและมอเตอร์ ตรวจสอบรอยรั่วของหม้อน้ำ ท่อยาง และข้อต่อต่าง ๆ หากตรวจพบว่ามีน้ำไหลซึม ควรรีบแก้ไขโดยด่วน
8. เช็คชุดเครื่องมือประจำรถยนต์
ไม่ว่าจะล้อ-ยางอะไหล่ ,แม่แรง ,ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ, ที่เติมลมฉุกเฉิน, สายพ่วงแบต, สายลากรถ, ไฟฉาย ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้หากมีติดรถเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
9. เช็คประกันรถยนต์
นอกจากชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์แล้ว อย่าลืมเช็คประกันรถยนต์ด้วยว่าใกล้หมดหรือยัง ประกันรถยนต์ขาดต่อไหม โดยเฉพาะประกันรถยนต์ที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ที่จะช่วยให้เราอุ่นใจ แม้อาจจะไม่ครอบคลุมการซ่อมรถ แต่อย่างน้อยก็มีบริการช่วยยกรถไปซ่อมที่อู่หรือศูนย์ได้
ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำการเช็ครถยนต์เบื้องต้น ฉะนั้นทางที่ดีควรนำรถเข้าศูนย์เข้าเช็คระยะตามเวลาที่กำหนดเป็นประจำ ที่สำคัญอย่าลืมหาประกันรถยนต์ที่สามารถช่วยเหลือเราเวลารถเสียหายจากอุบัติเหตุด้วย หากกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ราคาถูกใจและเชื่อถือได้สามารถติดต่อได้ที่ tripetchinsurance.com หรือ โทร. 02-792-2160
สนใจทำประกันรถยนต์ออนไลน์ กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้ได้เลย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ TPIS พร้อมติดต่อกลับทันที!
TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส ที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์
เราพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอนเพื่อให้คุณได้บริษัทประกันที่ตรงใจพร้อมแบบประกันภัยที่ตอบโจทย์ แถมยังมีโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน* สนใจสมัครประกันภัยรถยนต์กับตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม