เทคนิคขับรถตอนฝนตกหนักยังไง ให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ
Key Takeaways
- การขับรถตอนฝนตกหนักให้ปลอดภัย จะต้องลดความเร็วลงขณะขับขี่, ต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้ายรถ, ต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน, ต้องใช้น้ำฉีดกระจกช่วย, ต้องคอยควบคุมพวงมาลัยให้มั่นคง ต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าเสมอ และต้องคอยระวังฝ้าที่กระจกรถให้ดี
- 5 จุดสำคัญของรถยนต์ที่ต้องเช็กก่อนออกเดินทางในช่วงหน้าฝน คือ ช่วงล่างและยางรถยนต์, ระบบเบรกและน้ำมันเบรก, ใบปัดน้ำฝน, ระบบไฟส่องสว่างทั้งหมด และแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง
การขับรถตอนฝนตกเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องระวังและให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะเวลาฝนตกจะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลง แถมพื้นถนนยังลื่นมากขึ้นอีกด้วย จึงต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญในการขับรถมากกว่าสถานการณ์ปกติ วันนี้ TPIS เลยจะมาแชร์ 7 เทคนิคขับรถตอนฝนตกหนักยังไง ถึงจะปลอดภัยและไร้อุบัติเหตุ ที่สายเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ ต้องห้ามพลาด
7 เทคนิคขับรถตอนฝนตกหนักยังไง ให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ
1. ต้องลดความเร็วลงขณะขับขี่
ไม่ว่ารถยนต์ของเราจะแพงหรือออกแบบมาดีแค่ไหน ยังไง ๆ เวลาขับรถตอนฝนตกก็ควรลดความเร็วลงเสมอเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากน้ำฝนที่ตกลงมาจะไปผสมเข้ากับฝุ่นละอองและคราบดินต่าง ๆ ที่เกาะติดอยู่บนผิวถนน และทำให้พื้นถนนเกิดความลื่นคล้ายกับมีโคลนปกคลุมอยู่ และหากเราต้องขับรถเวลาที่ฝนตกหนักจริง ๆ ก็ควรใช้ความเร็วอยู่ที่ 60 กม./ชม. เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น
2. ต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้ายรถ
เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการขับรถตอนฝนตกที่ขาดไม่ได้ นั่นคือต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้ายรถเสมอ เพราะในช่วงที่ฝนตกหนักจะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลง จนคนในรถไม่สามารถมองเห็นทางได้ชัดเหมือนปกติ การเปิดไฟหน้ารถจะช่วยให้มองเห็นภาพด้านหน้าได้ดีมากขึ้น และก็ต้องไม่ลืมเปิดไฟท้ายรถด้วย เนื่องจากมันสามารถช่วยให้เพื่อนร่วมท้องถนนหรือรถคันอื่น ๆ มองเห็นเราได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง
3. ต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน
นอกจากเราจะต้องเปิดไฟหน้ารถเพื่อให้มองเห็นภาพข้างหน้าได้ดีขึ้นแล้ว ก็ต้องไม่ลืมเปิดที่ปัดน้ำฝนด้วยเช่นกัน เนื่องจากเวลาขับรถตอนฝนตกจนมีน้ำฝนจำนวนมากมากองอยู่ที่กระจกหน้ารถ ซึ่งทำให้เราไม่สามารถมองเห็นรถข้างหน้าได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีบางจังหวะที่น้ำขังจากพื้นถนนกระเด็นขึ้นมาใส่กระจกหน้ารถเรา เวลาที่รถเลนข้าง ๆ ขับมาด้วยความเร็ว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงต้องเปิดที่ปัดน้ำฝนเป็นระยะ ๆ
4. ต้องใช้น้ำฉีดกระจกช่วย
บางครั้งเวลาฝนตกการเปิดที่ปัดน้ำฝนเพียงอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ เนื่องจากมันจะมีบางช่วงที่มีน้ำขังหรือโคลนจากพื้นถนนกระเด็นขึ้นมาใส่กระจกหน้ารถ และทำให้กระจกขุ่นมัวหรือมีคราบสกปรกบางอย่างติดอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้น้ำฉีดกระจกไปพร้อม ๆ กับการเปิดที่ปัดน้ำฝน เพื่อช่วยชำระล้างคราบสกปรกเหล่านั้นให้หายไป
5. ต้องคอยควบคุมพวงมาลัยให้มั่นคง
หลายคนที่ขับรถมานานและชินกับการขับรถไปแล้ว อาจมีบางจังหวะที่เลือกบังคับพวงมาลัยด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งในสถานการณ์ปกติที่พื้นถนนแห้งและทัศนวิสัยดี อาจไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมากนัก แต่หากขับรถตอนฝนตกหนักที่พื้นถนนลื่นและทัศนวิสัยไม่ดี ควรจับพวงมาลัยด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมรถยนต์นั่นเอง
6. ต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าเสมอ
ไม่ว่ารถบนท้องถนนช่วงนั้นจะเยอะมากแค่ไหนก็ตาม เวลาขับรถตอนฝนตกให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ จะต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติ 2 เท่าเสมอ เนื่องจากพื้นถนนที่ลื่นจะทำให้ระยะการเบรกของรถเราเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าใครไม่อยากเกิดอุบัติเหตุหรือเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถคนอื่นและรถตัวเองแล้วละก็ ควรรักษาระยะห่างระหว่างรถเราและรถคันอื่นให้ดี เพื่อให้เราหยุดรถได้ทัน หากเกิดเหตุสุดวิสัยบางอย่างขึ้น
7. ต้องคอยระวังฝ้าที่กระจกรถให้ดี
นอกจากฝนที่ตกลงมาและน้ำฝนที่อยู่บนกระจกหน้ารถจะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงแล้ว ฝ้าก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนขับรถมองเห็นทางไม่ชัด ซึ่งหลายคนมักเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เวลาขับรถตอนฝนตก เนื่องจากอุณหภูมิและความชื้นในขณะฝนตกเอื้อต่อการเกิดฝ้าบนกระจกรถได้ง่าย ซึ่งวิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้านั้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
- ใช้ผ้าหรือที่ปัดน้ำฝนเช็ดเพื่อกำจัดฝ้าที่เกิดขึ้น
- เปลี่ยนทิศทางของแอร์ไม่ให้โดนกระจกรถโดยตรง
- ปรับอุณหภูมิของแอร์ในรถเพื่อเลี้ยงให้อุณหภูมิภายในและภายนอกเท่ากัน
- ลดกระจกรถยนต์ลงเล็กน้อยเพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเทซึ่งช่วยให้ฝ้าจางลงได้
การให้ความสำคัญกับเทคนิคเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยให้เราขับรถตอนฝนตกได้ปลอดภัยมากขึ้น แต่ยังไงอุบัติเหตุก็เป็นสิ่งที่คนเราควบคุมไม่ได้ แต่เลือกป้องกันผลกระทบที่จะตามมาได้ อย่างการต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ที่ง่ายและสะดวกมาก ๆ แถมยังช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
5 จุดสำคัญที่ต้องเช็กก่อนออกเดินทางในช่วงหน้าฝน
1. ช่วงล่างและยางรถยนต์
การขับรถช่วงฝนตกต้องอาศัยความแข็งแรงของช่วงล่างรถยนต์ โดยเฉพาะยางรถยนต์ที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนที่เปียกและลื่นตลอดเวลา ดังนั้น ต้องมั่นใจว่ายางรถยนต์อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่มีรอยแตกลายงา ดอกยางและร่องดอกยางยังอยู่ดี รวมถึงโช้คอัพและลูกหมากก็ต้องสมบูรณ์เช่นกัน
2. ระบบเบรกและน้ำมันเบรก
ยิ่งฝนตกหนักมากแค่ไหนถนนก็ยิ่งลื่นมากเท่านั้น ดังนั้นการขับรถเวลาฝนตกจึงต้องอาศัยทักษะการควบคุมรถที่มีดี ควบคู่ไปกับการเบรกที่ต้องแม่นยำ เนื่องจากเวลาถนนลื่นระยะเบรกจะเพิ่มขึ้น หากระบบเบรกของรถยนต์ทำงานได้ไม่ดี ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นได้
3. ระบบปัดนํ้าฝนและน้ำฉีดล้างกระจก
อีกหนึ่งระบบที่สำคัญมาก ๆ ของการขับรถช่วงฝนตก นั่นคือระบบปัดนํ้าฝนและน้ำฉีดล้างกระจก ที่ต้องเปิดใช้งานทุกครั้งเวลาฝนตก ซึ่งต้องคอยเช็กว่าทุกอย่างยังทำงานดีอยู่ โดยเฉพาะยางของใบปัดน้ำฝนที่ต้องสามารถรีดน้ำออกจากกระจกได้แบบที่ไม่ทิ้งคราบต่าง ๆ เอาไว้ให้บดบังสายตา
4. ระบบไฟส่องสว่างทั้งหมด
อยากขับรถตอนฝนตกให้ปลอดภัย ระบบไฟส่องสว่างของรถยนต์ต้องทำงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอก เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการขับรถช่วงหน้าฝน ที่ต้องอาศัยระบบไฟตลอดเวลา เพื่อให้เรามองเห็นรถคันอื่นและให้รถคันอื่นมองเห็นเราด้วยเช่นกัน
5. แบตเตอรี่รถยนต์
จุดสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ ในการขับรถ เพราะเครื่องยนต์จะทำงานเต็มประสิทธิภาพต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์ ดังนั้น จึงควรเช็กฉนวนสายไฟและขั้วแบตเตอรี่ว่ายังเชื่อมต่อกันดี พร้อมทำความสะอาดคราบขี้เกลือบริเวณขั้วแบตเพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลได้อย่างสะดวก
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคขับรถตอนฝนตกหนักยังไงให้ปลอดภัยและไร้อุบัติเหตุ ส่วนใครที่สนใจสมัครหรือต่อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ แต่ยังต้องการสอบถามเบี้ยประกัน รวมถึงรายละเอียดความคุ้มครองต่าง ๆ เพิ่มเติม ก็สามารถให้ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิสเป็นผู้ดูแลในการเลือกแบบประกันภัยรถยนต์ที่ตรงใจคุณมากที่สุด เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้
แจ้งข้อมูลเพื่อให้บริษัทติดต่อกลับ
TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส โบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์
เราพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอนเพื่อให้คุณได้บริษัทประกันที่ตรงใจพร้อมแบบประกันภัยที่ตอบโจทย์ แถมยังมีโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน* สนใจสมัครประกันภัยรถยนต์กับตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
*ผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ