ทำไมฝนตกรถติดตลอด เคล็ดลับขับรถเมื่อฝนตกหนักให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น

ปรากฏการณ์รถติดเมื่อฝนตกในกรุงเทพมหานครหรือหัวเมืองใหญ่ ๆ พบว่าเป็นปัญหาเรื้อรังที่สร้างความหนักใจให้กับผู้สัญจรไปมาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกชุกจะส่งผลให้การจราจรติดขัดรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า บางครั้งระยะทางที่ปกติใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาที อาจต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
สาเหตุสำคัญของปัญหานี้เกิดจากหลายปัจจัยที่ทับซ้อนกัน ดูเผิน ๆ แล้วเหตุจากฝนตกไม่น่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัญหาการจราจรติดหนึบเกิดขึ้นได้เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วความไม่น่าเป็นไปได้กลับเกิดขึ้นได้แล้วจริง ๆ เริ่มจากระบบระบายน้ำของเมืองที่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักได้ทันท่วงทีทำให้เกิดน้ำท่วมขังบนผิวถนน นอกจากนี้การพัฒนาเมืองที่ขาดการวางแผนที่ดี การก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ระบายน้ำ รวมถึงการทิ้งขยะลงในท่อระบายน้ำ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัญหาการจราจรทวีความรุนแรงขึ้น
ปัญหาฝนตกรถติดนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างมาก ทั้งในแง่ของเวลาที่สูญเสียไป ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนในการเดินทางที่สูงขึ้น การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การวางแผนผังเมือง และการสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน
ทำไมฝนตกทุกครั้ง รถติดหนักทุกที

ฝนตกเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจราจรในเมืองใหญ่ติดขัดอย่างรุนแรง มาดูเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่ฝนตก
1. พื้นผิวถนนมีน้ำท่วมขัง
เมื่อฝนตกหนัก มวลน้ำมหาศาลจะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำพร้อมกัน แต่ระบบระบายน้ำในเมืองที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้ทัน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังบนผิวถนน ส่งผลให้รถต้องชะลอความเร็วลงอย่างมาก ทำให้การขับขี่เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ในรถยนต์บางรุ่นมีการปรับแต่งช่วงล่างโหลดเตี้ย หรือความสูงของท้องรถต่ำกว่าระดับน้ำ เมื่อน้ำบนพื้นถนนสูงขึ้นจึงทำให้รถยนต์บางคันดับหรือจอดนิ่งไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อได้ รถยนต์ต้องลดความเร็วลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการควบคุมที่เกิดจากน้ำท่วมขัง ส่งผลให้การจราจรต้องเบี่ยงตัวไปใช้ช่องทางอื่นและเกิดการจราจรติดขัดมากขึ้น
2. ใช้ความเร็วรถยนต์ได้ลดลง
เมื่อฝนตก ถนนที่เปียกลื่นเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ขับขี่ต้องเผชิญ น้ำที่เจิ่งนองบนพื้นผิวถนนไม่เพียงทำให้ล้อรถสูญเสียแรงเกาะถนนแต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการไฮโดรพลานิ่ง (Hydroplaning) หรือการที่ล้อรถลอยตัวเหนือผิวน้ำ หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นหูว่า ‘การเหินน้ำ’ ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้
ในสภาวะเช่นนี้ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่อย่างมาก โดยเฉพาะการลดความเร็วลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากระยะเบรกจะยาวขึ้นกว่าปกติ 2-3 เท่า การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าจึงต้องเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีระยะห่างที่เหมาะสม
เมื่อรถทุกคันต้องชะลอความเร็วลง ส่งผลให้อัตราการเคลื่อนตัวของการจราจรโดยรวมลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีปริมาณรถหนาแน่น การชะลอตัวนี้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์คลื่นการจราจร (Traffic Wave) ที่แม้รถคันหน้าจะเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว แต่รถคันหลัง ๆ ยังคงต้องหยุดนิ่งเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณรถที่ไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ตามปกติ นำไปสู่การจราจรติดขัดที่ยาวนานและรุนแรงมากขึ้น
3. ปริมาณรถติดสะสมที่เพิ่มขึ้น
เมื่อฝนตกพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนในเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด หลายคนที่ปกติเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ หรือเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ หันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวแทน ด้วยเหตุผลหลักคือต้องการหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกจากการที่ต้องตากฝนขณะรถติด การเดินทางไปยังป้ายรถเมล์หรือสถานีรถไฟฟ้า รวมถึงความกังวลเรื่องเสื้อผ้าและเอกสารที่อาจเปียกน้ำ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่เหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันโดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนเมื่อผู้คนต้องเดินทางไปทำงานหรือกลับบ้านพร้อมกัน นอกจากนี้ผู้ที่ปกติเดินทางในเวลาที่ต่างกัน อาจเลือกออกเดินทางพร้อมกันเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงที่ฝนตกหนักก็ยิ่งทำให้ปริมาณรถบนท้องถนนยิ่งหนาแน่นมากขึ้น
ปรากฏการณ์นี้สร้างผลกระทบแบบลูกโซ่ เมื่อมีรถจำนวนมากบนถนน การจราจรที่ติดขัดอยู่แล้วจากสภาพถนนที่เปียกลื่นยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้การเดินทางใช้เวลานานขึ้นกว่าปกติหลายเท่า สะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจที่จะได้รับความสะดวกสบายส่วนตัวของแต่ละคนกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการจราจรที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
4. เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนบนท้องถนน
พื้นถนนลื่นและทัศนวิสัยที่ลดลงเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นในช่วงฝนตก เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่แม้จะเป็นเพียงการเฉี่ยวชนเล็กน้อยก็ส่งผลให้การจราจรติดขัดหนักกว่าเดิม เพราะต้องรอการเคลื่อนย้ายรถหรือการแก้ไขสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่
วิธีขับรถเมื่อฝนตกหนักถนนลื่น มีอะไรบ้าง

การขับรถในช่วงฝนตกหนักจำเป็นต้องมีวิธีการขับขี่เพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย มาดูเคล็ดลับสำคัญที่ควรปฏิบัติดังนี้
1. ลดความเร็วรถยนต์ลง
การลดความเร็วรถยนต์เป็นสิ่งแรกที่ควรทำเมื่อขับในสภาพถนนเปียกลื่น ความเร็วต่ำช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุและทำให้คุณสามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น หากต้องเผชิญกับน้ำท่วมขังหรือต้องเบรกกะทันหัน
2. เว้นระยะห่างจากคันข้างหน้าให้เบรกทัน
ในสภาพฝนตก การเว้นระยะห่าง การไม่ขับจี้ท้ายรถคันข้างหน้า เป็นสิ่งสำคัญ เพราะระยะเบรกจะเพิ่มขึ้นบนถนนที่ลื่น การเผื่อพื้นที่นี้ช่วยลดความเสี่ยงในการชนท้ายหรือเกิดอุบัติเหตุแบบต่อเนื่อง
3. เหยียบเบรกอย่างช้าๆ ห้ามเหยียบเบรกเต็มแรง
การเหยียบเบรกอย่างนุ่มนวลช่วยป้องกันล้อรถล็อกและสูญเสียการควบคุม โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ไม่มีระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) การกดเบรกเต็มแรงบนพื้นถนนลื่นสามารถทำให้รถหมุนหรือพลิกคว่ำได้ นอกจากนี้อาจเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากรถชนท้ายเนื่องจากการเบรกกะทันหันที่ทำให้รถคันหลังไม่ระวังชนท้ายเอาได้
4. เปิดระบบไฟหน้า-ไฟหลังรถ
ไฟหน้าช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ผู้ขับขี่เห็นเส้นทางได้ชัดเจนขึ้นและยังช่วยให้รถของคุณถูกมองเห็นได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ขับขี่คนอื่น โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหนักที่แสงธรรมชาติลดลง
5. เปิดระบบใบปัดน้ำฝน
ระบบใบปัดน้ำฝนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มการมองเห็นบนกระจกหน้ารถ ตรวจสอบใบปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีเสมอ เพราะใบปัดที่เสื่อมสภาพจะทำให้เกิดริ้วน้ำที่บดบังทัศนวิสัย
สรุป ฝนตกรถติด ถึงหมุดหมายเร็วขึ้น
การวางแผนเส้นทางและเวลาเดินทางมีความสำคัญไม่น้อย ผู้ใช้รถใช้ถนนควรออกเดินทางก่อนเวลาปกติ การเลือกเส้นทางสำรอง หรือการใช้แอปพลิเคชันนำทางเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง จะช่วยให้สามารถจัดการเวลาได้ดีขึ้น นอกจากนี้การพิจารณาใช้ระบบขนส่งสาธารณะทางรางที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพการจราจรบนท้องถนนอาจเป็นทางเลือกที่ดีในบางสถานการณ์
ระหว่างการเดินทาง การรักษาสติและความอดทนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การขับขี่อย่างระมัดระวัง การเว้นระยะห่างที่ปลอดภัย และการไม่เร่งรีบจนเกินไป ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยลดความเครียดระหว่างการเดินทางด้วย การมีทัศนคติที่ดีและเข้าใจว่าความล่าช้าในสภาพอากาศเช่นนี้เป็นเรื่องปกติจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น
สุดท้าย การแสดงน้ำใจและความเอื้อเฟื้อต่อผู้ร่วมทางคนอื่น ๆ เช่น การให้ทางรถคันอื่นเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน , การไม่แซงกระชั้นชิด จะช่วยให้การจราจรโดยรวมเคลื่อนตัวได้ดีขึ้นและสร้างบรรยากาศที่ดีบนท้องถนนแม้ในสภาวะที่ท้าทายเช่นนี้ ความร่วมมือร่วมใจของทุกคนคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย
ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ