ข้อดีข้อเสียของ 4 ฤดูในญี่ปุ่น เมื่อต้องเดินทางไปเที่ยว
Key Takeaways
- ฤดูในญี่ปุ่น มีด้วยกัน 4 ฤดู ประกอบไปด้วย ฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) , ฤดูร้อน (ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม) , ฤดูใบไม้ร่วง (ช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) และ ฤดูหนาว (ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์)
- ฤดูในประเทศญี่ปุ่นแต่ละฤดู มีความแตกต่างกันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ อุณหภูมิ สถานที่ท่องเที่ยว และการแต่งกาย นักท่องเที่ยวจึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภา
ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม ปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่ควรคำนึงถึง คือ สภาพอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกเสื้อผ้าและสถานที่ท่องเที่ยวในทริปนั้น ๆ อย่างประเทศญี่ปุ่นที่มีฤดูให้เลือกเที่ยวมากถึง 4 ฤดู ซึ่งแต่ละฤดูในญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายด้าน วันนี้ ขอให้ TPIS เป็นโบรกเกอร์ผู้นำด้านประกันภัย จะขออาสาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 4 ฤดูในประเทศญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้เพื่อน ๆ สามารถเตรียมตัวและเตรียมพร้อมรับกับสภาพอากาศในช่วงนั้น ๆ ได้อย่างมืออาชีพ
ฤดูในญี่ปุ่น มีอะไรบ้าง?
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม)
ถือเป็นฤดูในญี่ปุ่นที่น่าเที่ยวมากที่สุดฤดูหนึ่ง ด้วยสภาพอากาศและอุณหภูมิกำลังสบาย ๆ แถมยังถูกต้อนรับด้วยความสดใสจากสีสันแห่งธรรมชาติ ทั้งใบไม้สีเขียวและดอกไม้นานาพรรณที่เริ่มผลิบาน โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนที่เป็นช่วงของดอกซากุระบาน ทำให้หลาย ๆ เมืองถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีชมพู-ขาว ที่เหมาะกับการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสุด ๆ
สภาพอากาศ: อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงนี้จะอยู่ระหว่าง 13-25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอากาศที่เย็นสบายกำลังดี ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป
ข้อดีของฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่น
นักท่องเที่ยวจะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของดอกซากุระกับเทศกาลโอฮานามิ โดยดอกซากุระจะเริ่มบานจากภาคใต้ขึ้นไปสู่ภาคเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งเกาะโอกินาวะจะเป็นสถานที่แรก ๆ ที่ดอกซากุระเริ่มบาน และจะปิดท้ายด้วยเกาะฮอกไกโดที่อยู่บริเวณเหนือสุดของญี่ปุ่น ซึ่งซากุระจะผลิบานให้ชมประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนจะร่วงโรย
ข้อเสียของฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่น
ด้วยความที่ดอกซากุระจะบานให้ชมเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้น นักท่องเที่ยวจึงต้องวางแผนวันและเวลาให้ดี เพื่อให้ไปพอดีกับช่วงที่ซากุระในเมืองนั้น ๆ บาน และเนื่องจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูแห่งดอกไม้บาน อาจทำให้ใครหลายคนเกิดอาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ได้ ดังนั้น จึงควรพกยาแก้แพ้ติดไปด้วยหรืออาจจะสวมหน้ากากอนามัยเสริมอีกแรงก็ได้เช่นกัน
ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)
ถึงแม้ฤดูใบไม้ผลิจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความสดใสยังคงอยู่ โดยช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิมาเป็นฤดูร้อน จะมีช่วงที่ฝนตกอยู่ประมาณ 5 สัปดาห์ หลังจากนั้นอากาศก็จะค่อย ๆ อุ่นขึ้น ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวอย่างชายหาด ทะเลสาบ และแม่น้ำ ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกิจกรรมสุดฮิตก็คงหนีไม่พ้น การล่องแก่ง การอาบแดด และการเล่นกระดานโต้คลื่น
สภาพอากาศ: ในช่วงแรก ๆ ก่อนเข้าฤดูร้อนจะมีฝนตกปรอย ๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม หลังจากนั้นฝนจะค่อย ๆ ซาและอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้น อยู่ราว ๆ 37-38 องศาเซลเซียส แต่อากาศบริเวณภาคเหนืออย่างเมืองฮอกไกโด จะอยู่ราว ๆ 25-30 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ข้อดีของฤดูร้อนในญี่ปุ่น
เป็นฤดูที่เต็มไปด้วยเทศกาลน่ารัก ๆ อย่างเทศกาลทานาบาตะ ที่ชาวญี่ปุ่นจะชวนกันออกมาเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษสีสันสดใสเพื่อเอาไปแขวนที่ต้นไผ่ รวมถึงอีกหนึ่งเทศกาลที่จัดเต็มทั้งสีสันและความสนุกสนาน อย่างเทศกาลดอกไม้ไฟ ที่ส่วนมากจะนิยมจัดบริเวณริมแม่น้ำ โดยนักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพบรรยากาศชาวญี่ปุ่นพากันสวมชุดยูกาตะออกมาเดินชมดอกไม้ไฟกันอย่างไม่ขาดสาย
ข้อเสียของฤดูร้อนในญี่ปุ่น
เรื่องแดดและความร้อนคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรสำหรับคนไทยอย่างเรา ๆ แต่ในญี่ปุ่นจะมีเรื่องคลื่นความร้อนที่ต้องคอยระมัดระวัง ซึ่งถ้าใครเลือกเดินทางไปเที่ยวในช่วงนี้ จะต้องคอยดื่มน้ำเยอะ ๆ จิบน้ำบ่อย ๆ และไม่ควรอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน รวมถึงบริเวณที่แออัดหรือคนเยอะ ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงเหมือนกัน
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน)
อีกหนึ่งฤดูในญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์มาก ๆ ใครที่ได้เดินทางมาเที่ยวในช่วงเวลานี้จะต้องติดใจกับทัศนียภาพความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่ทำให้บรรยากาศในสถานที่ต่าง ๆ อย่างสวนสาธารณะเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ให้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำ แถมยังมาพร้อมอากาศเย็นแบบกำลังดี ช่วยเพิ่มเวลาความโรแมนติกขึ้นไปอีกขั้น
สภาพอากาศ: เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายจากฤดูร้อนไปฤดูหนาว ทำให้สภาพอากาศในช่วงนี้พอดีสุด ๆ ได้อุณหภูมิที่เย็นสบาย แต่ยังพอมีแสงแดดเบา ๆ ที่มาช่วยเพิ่มความอบอุ่น ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 12-26 องศาเซลเซียส
ข้อดีของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น
นักท่องเที่ยวจะได้ชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสีสันและเสน่ห์ที่หาจากไหนไม่ได้แล้ว โดยใบไม้เปลี่ยนสีจะเริ่มจากบริเวณภาคเหนือของญี่ปุ่น อย่างเกาะฮอกไกโด เพราะเป็นบริเวณที่อากาศเริ่มเย็นเร็วกว่าบริเวณอื่น และจะค่อย ๆ ไล่ลงมาทางใต้ อย่างเมืองโตเกียว ที่จะได้ชื่นชมกับใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
ข้อเสียของฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น
เป็นฤดูในญี่ปุ่นที่ต้องเตรียมเสื้อผ้าไปหลาย ๆ แบบ เพราะในช่วงกลางวันอากาศจะเย็นสบายกำลังดี ไม่ได้หนาวอะไรมาก แต่พอตกเย็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากเตรียมเสื้อผ้ามาไม่หนาพออาจทำให้ป่วยได้
ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
ใครอยากเจอและสัมผัสกับหิมะจริง ๆ ต้องมาเที่ยวในฤดูนี้ เพราะในช่วงนี้ทุกที่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โดยเฉพาะในทางตอนเหนือ อย่างเกาะฮอกไกโด ที่ทะเลสาบและแม่น้ำลำคลองกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้เกิดกิจกรรมสนุก ๆ อย่างการเล่นสเก็ตน้ำแข็งและการเล่นสกี ซึ่งเมืองที่ขึ้นชื่อสุด ๆ ก็หนีไม่พ้น เมืองซัปโปโร ที่จะมีการจัดเทศกาลหิมะ ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก
สภาพอากาศ: บริเวณตอนบนของญี่ปุ่นจะหนาวมาก อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-10 องศาเซลเซียส และในบางพื้นที่ก็อาจจะมีหิมะตกหนัก จนทำให้น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ อย่างลำธารหรือทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที
ข้อดีของฤดูหนาวในญี่ปุ่น
นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับอากาศหนาวอย่างเต็มที่ ได้เจอกับหิมะแบบจุใจ แถมยังมีเทศกาลน่ารัก ๆ อย่างเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง แถมยังได้เล่นกิจกรรมสนุก ๆ อย่างการเล่นสกี และยังจะได้เจอกับเทศกาลน้ำแข็งที่มีการแข่งขันแกะสลักหิมะอีกด้วย
ข้อเสียของฤดูหนาวในญี่ปุ่น
การแต่งกายในฤดูนี้ถือเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวไทยต้องให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะเป็นสภาพอากาศที่ไม่มีในไทย จึงต้องเตรียมตัวและจัดเสื้อผ้าไปให้พร้อมรับกับอากาศหนาว ๆ จะได้เที่ยวและทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของ 4 ฤดูในญี่ปุ่น ที่น่าจะพอช่วยให้ทุกคนสามารถเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวในแต่ละฤดูได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ส่วนใครที่สนใจสมัครประกันการเดินทาง แต่ยังต้องการสอบถามเบี้ยประกัน รวมถึงรายละเอียดความคุ้มครองทั้งหมด ก็สามารถให้ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิสเป็นผู้ดูแลในการเลือกแบบประกันการเดินทางที่ตรงใจคุณมากที่สุด เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้
TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส โบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์