จัดการหนี้อย่างไรให้หมดเร็ว และไม่กลับมาเป็นหนี้เพิ่ม

ค่าผ่อนบ้าน…ค่าผ่อนรถ…ค่าบัตรเครดิต แค่คิดก็ปวดหัว ไหนจะค่าผ่อนสินค้า หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล รวมทั้งหนี้นอกระบบ เรียกได้ว่าภาระหนี้สินในแต่ละเดือนชวนให้เครียดอยู่ไม่น้อย การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิดเนื่องจากทุกคนต่างมีความจำเป็นในชีวิตแตกต่างกัน ที่สำคัญคือต้องยอมรับความจริงว่า “มีหนี้ก็ต้องใช้” หากอยากจัดการหนี้ให้หมดไวควรเริ่มต้นจากการตั้งสติ สร้างกำลังใจให้ตนเองและลงมือแก้ไขปัญหาหนี้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเทคนิคต่าง ๆ ดังนี้
เทคนิค Snowball และ Avalanche สำหรับการชำระหนี้
เทคนิค Snowball เป็นวิธีการจัดการหนี้สินโดยอาศัยหลักทฤษฎีธรรมชาติของลูกบอลหิมะซึ่งปกติจะมีขนาดเล็กเมื่ออยู่บนยอดเขา ต่อเมื่อกลิ้งตกลงมาก็จะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากลูกบอลหิมะก้อนเล็กกลายเป็นหิมะก้อนใหญ่ การจัดการหนี้สินด้วยเทคนิคนี้จึงมุ่งเน้นที่จะเคลียร์หนี้ก้อนเล็กก่อนแล้วค่อยจัดการก้อนหนี้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับจนกว่าภาระหนี้สินจะหมดไป
เริ่มจากลิสต์รายการหนี้ทั้งหมดที่มีโดยเรียงลำดับจากหนี้ก้อนเล็กสุดไปยังหนี้ก้อนใหญ่สุด จากนั้นตั้งเป้าหมายชำระหนี้ด้วยการเคลียร์หนี้ลำดับบนซึ่งเป็นหิมะก้อนเล็กให้หมดเสียก่อนส่วนหนี้ก้อนอื่นในลำดับรองลงมาให้ชำระเพียงขั้นต่ำเท่านั้น เมื่อเคลียร์หนี้ลำดับแรกเรียบร้อยแล้วจึงค่อยจัดการหนี้ในลำดับถัดไป ค่อย ๆ เคลียร์ทีละรายการจนกว่าจะหมดหนี้ วิธีนี้ให้ประสิทธิภาพสูง และเหมาะกับผู้ที่มีหนี้หลายก้อน ทั้งนี้เทคนิค Snowball นั้นจะพิจารณาเรียงลำดับก้อนหนี้จากเงินต้นเป็นหลักโดยไม่คำนึงถึงอัตราดอกเบี้ย
เทคนิค Avalanche หรือเทคนิคแบบหิมะถล่ม ยึดเกณฑ์การชำระหนี้ด้วยการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเป็นหลักโดยไม่สนใจเงินต้น เทคนิคนี้เรียงลำดับก้อนหนี้จากที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไปยังต่ำสุดแล้วจัดการเคลียร์หนี้ก้อนแรกที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดออกไปก่อน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีหนี้หลายก้อนและหนี้แต่ละก้อนมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน
การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อลดดอกเบี้ย

การเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อขอลดดอกเบี้ยนั้น มีทั้งแบบการเจรจาประนอมหนี้ และ แฮร์คัต
1. การเจรจาประนอมหนี้
หากพบว่าตนเองไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลงเดิม การเจรจาประนอมหนี้เพื่อขอลดดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการขอเจรจากับเจ้าหนี้เรื่องข้อตกลงใหม่ในหนี้สินเดิมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระหนี้ที่ต้องจ่ายรายเดือนลง เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดสภาพคล่องทางเงินชั่วคราวและต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายระยะสั้นเพื่อนำเงินไปใช้เรื่องเร่งด่วนอื่นที่จำเป็นกว่า ซึ่งมีทั้งการขอลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว ขอให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด ตลอดจนการขอหยุดดอกเบี้ยโดยไม่ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างที่ผ่อนชำระ เป็นต้น
เมื่อเจรจาประนอมหนี้จนได้ข้อยุติเป็นที่น่าพึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว เจ้าหนี้จะระงับสัญญาหนี้เดิมแล้วออกสัญญาหนี้ฉบับใหม่โดยยังคงมียอดหนี้เท่าเดิมพร้อมดอกเบี้ยเก่าที่ยังค้างชำระ บวกดอกเบี้ยปรับโครงสร้างหนี้ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาระหนี้สินไม่มากและมั่นใจว่าสามารถผ่อนชำระได้หมด
2. การเจรจาแบบแฮร์คัต ( Hair-cut )
เป็นการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอตัด ลด หรือปิดบัญชีหนี้ ด้วยการขอลดดอกเบี้ย หรือขอลดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย แลกกับการจ่ายชำระหนี้ด้วยเงินก้อนเพื่อปิดบัญชีหนี้ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับเงินก้อนใหญ่แล้วต้องการนำมาใช้ปิดหนี้ เช่น เงินโบนัส , เงินมรดก , เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สิน เป็นต้น การเจรจาแบบแฮร์คัตจะช่วยให้ลูกหนี้เคลียร์หนี้สินได้เร็วขึ้นในขณะที่เจ้าหนี้นั้นแม้จะได้รับเงินไม่เต็มจำนวนตามที่ระบุในสัญญาเดิม แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากว่าเพราะไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหาหนี้สูญ
ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาแบบประนอมหนี้ หรือแฮร์คัต หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีควรแสดงความจริงใจให้เจ้าหนี้ทราบว่าเรามีความตั้งใจจริงในการชำระหนี้ มีการวางแผนอย่างรัดกุมทั้งเงื่อนไขการต่อรองและระยะเวลาใช้หนี้ หากมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีด้วยก็จะยิ่งได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
วิธีหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่

นอกจากจะมุ่งมั่นตั้งใจในการเคลียร์หนี้เก่าแล้วยังต้องหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่ด้วย โดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า ‘วินัยทางการเงิน’
1. ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด พร้อมแยกบัญชีรายจ่ายที่จำเป็น และไม่จำเป็นออกจากกัน วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ที่มีพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือเก็บเงินไม่อยู่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ ทั้งอาจมีเงินเหลือเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่สำคัญกว่า
2. คิดก่อนจ่าย ใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็น แต่หากมีความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ควรเลือกปิดหนี้ก้อนใดก้อนหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเป็นหนี้ก้อนใหม่ เพื่อจะได้มีเวลาในการชำระหนี้เก่าและป้องกันอัตราดอกเบี้ยที่จะถูกปรับให้สูงขึ้นหากมีการผิดนัดชำระหนี้
3. กำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายประจำวันตามความจำเป็น วิธีนี้จะช่วยให้คิดก่อนใช้มากขึ้นเนื่องจากมีเงินจำกัดเพียงพอที่จะใช้ในแต่ละวันเท่านั้น และไม่ควรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพราะเสี่ยงต่อการใช้เงินเกินงบประมาณที่ตั้งไว้
4. เลี่ยงการใช้เงินในอนาคต อย่างเงินในบัตรเครดิต / บัตรกดเงินสด / บัตรผ่อนสินค้า หรือการกู้ยืมเงินในรูปแบบต่าง ๆ เพราะตราบใดที่นำเอาเงินในอนาคตมาใช้ก็ถือเป็นการสร้างหนี้ใหม่นั่นเอง สำหรับบัตรเครดิตหากมีความจำเป็นต้องใช้ ควรใช้อย่างระมัดระวังภายใต้วงเงินที่มั่นใจว่าสามารถชำระยอดเต็มได้ทุกเดือน และควรตั้งวงเงินการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่เกิน 30% ของรายได้ ที่สำคัญไม่ควรกดเงินสดผ่านบัตรเครดิตเนื่องจากดอกเบี้ยสูง
5. ป้องกันการเป็นหนี้ด้วยการสร้างวินัยการออม โดยเริ่มจาก 15% ของรายได้ หรือ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน แล้วค่อยเพิ่มสัดส่วนการออมขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเงินออมก้อนนี้สามารถนำมาใช้เป็นทุนสำรองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างการตกงาน / ค่ารักษาพยาบาล / ค่าซ่อมบ้าน / ค่าซ่อมรถ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเงินออมก้อนนี้ควรเติมให้เต็มอยู่เสมอเพื่อป้องกันการกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น
6. วางแผนการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดหนี้ใหม่โดยใช้กฎ 50/30/20 ซึ่ง 50% ของรายได้ คือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ( เช่น ค่าบ้าน , ค่าอาหาร , ค่าเดินทาง , ค่าน้ำ , ค่าไฟ ) 30% สำหรับการเติมความสุขส่วนตัว ( เช่น การชอปปิ้ง , กิจกรรมสันทนาการตามความชอบ ) ส่วนอีก 20% นั้น คือการออม และการลงทุน
“การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” แต่ถ้าเกิดมีหนี้แล้วอยากจัดการให้หนี้หมดไวลองใช้เทคนิคดังข้างต้น อย่าลืมว่า ‘หนี้’ เป็นเพียงอุปสรรคอย่างหนึ่งในชีวิตที่ทุกคนสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหากมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ