โรงพยาบาลรัฐกับเอกชนแตกต่างกันยังไงบ้าง แบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับเรา
Key Takeaways
- โรงพยาบาลรัฐกับโรงพยาบาลเอกชนแตกต่างกันอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ค่ารักษาพยาบาล ระยะเวลาในการรอคิว ความสะดวกสบาย การบริการ และสิทธิการรักษาที่เข้าร่วม
- ค่าใช้จ่ายจำเป็นเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล มีดังนี้ ค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่ายา และค่าบริการอื่น ๆ ซึ่งหากคนไข้คนไหนไม่มีสิทธิหรือประกันอะไรรองรับ ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง
หลายคนน่าจะอยากรู้ว่าโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนแตกต่างกันยังไง เพราะบางคนอาจจะเคยใช้บริการแต่โรงพยาบาลรัฐ ในขณะที่อีกคนเคยแต่ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนมาทั้งชีวิต เลยอาจจะอยากรู้ความแตกต่างของทั้ง 2 โรงพยาบาลนี้ วันนี้ TPIS เลยจะมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นว่าการใช้บริการของทั้ง 2 โรงพยาบาลนี้ แตกต่างกันมากแค่ไหน
โรงพยาบาลรัฐ คืออะไร?
“ โรงพยาบาลที่คนไทยทุกคนเข้าถึงได้ ”
ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่เป็นที่พึ่งสำคัญของคนส่วนมาก เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐอยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วนเงินทุนที่ใช้ก็มาจากรัฐบาลโดยตรง ไม่ว่าจะเงินทุนในการก่อสร้าง การซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ไปจนถึงค่าแรงหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลด้วย ทำให้โรงพยาบาลรัฐกลายมาเป็นทางเลือกของคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้มีรายได้เยอะ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลรัฐจะเจอกับผู้คนมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของวันก็ตาม เพราะโรงพยาบาลรัฐถือเป็นที่รวมพลของคนทุกสารทิศ เพราะนอกจากคนในพื้นที่จะมาใช้บริการแล้ว ยังมีคนไข้บางคนที่ต้องเดินทางไกลออกจากจังหวัดตัวเอง เพื่อมาหาหมอในโรงพยาบาลรัฐอีกจังหวัด
ทำให้เวลาที่ต้องมาใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ จะต้องรอคิวนานหลายชั่วโมง ด้วยจำนวนคนที่เยอะมาก ๆ หรือหากต้องพบแพทย์เฉพาะทาง ก็ต้องรอคิวนานเป็นเดือน ๆ แถมโรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ยังทำการเฉพาะ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 8.00 – 16.00 น. ทำให้หลาย ๆ คนไม่ค่อยสะดวกมาหาหมอในวันเวลาดังกล่าว จึงเป็นที่มาของ ‘คลินิกพิเศษ’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ไม่อยากรอนานหรือวันเวลาไม่สะดวก
คลินิกพิเศษ
“ อีกหนึ่งทางเลือกของคนไม่มีเวลา ”
หลายคนคงน่าจะเคยได้ยินคำว่า คลินิกพิเศษ กันบ้างอยู่แล้ว ซึ่งคลินิกพิเศษจะเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลรัฐ แต่จะเปิดให้บริการนอกเวลาราชการ ที่โดยส่วนมากจะเป็น วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.00 – 20.00 น. และวันเสาร์ เวลา 8.00 – 12.00 น. หรือบางโรงพยาบาลอาจมีเปิดให้บริการวันอาทิตย์ด้วย เพื่อรองรับคนไข้ที่ไม่สะดวกมาหาหมอในเวลาราชการ แต่คลินิกพิเศษนั้นจะมาพร้อมค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่า แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายและการบริการที่ดีกว่านั่นเอง
1. ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐ
- ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมด อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แพง ซึ่งหากเอาไปเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ก็ถือว่าค่ารักษาโรงพยาลบาลรัฐนั้นถูกกว่ามาก
- สามารถใช้สิทธิ์การรักษา รวมถึงสวัสดิการจากรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิประกันสังคม สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค สิทธิบัตรทอง และสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ
2. ข้อเสียของโรงพยาบาลรัฐ
- รอคิวนานมาก เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐมีคนมารอใช้บริการจำนวนมาก บวกกับจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีน้อย เลยอาจทำให้ต้องใช้เวลารอนานเป็นวันกว่าจะได้พบหมอ
- ช่วงเวลาเข้าพบหมอน้อย เนื่องจากทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำให้หลังจากที่ได้พบหมอแล้ว คนไข้จะมีเวลาคุยและปรึกษากับหมอเพียงสั้น ๆ เท่านั้น
- การบริการอาจจะไม่ได้ดีมากนัก เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐ ทำงานค่อนข้างหนักและจะต้องเจอกับคนไข้หลากหลายรูปแบบ จึงอาจจะเหนื่อยและอ่อนล้าจากการทำงาน จนกระทบกับอารมณ์ได้ง่ายนั่นเอง
หลังจากที่ทุกคนพอจะจินตนาการเห็นภาพการใช้บริการโรงพยาบาลรัฐกันไปแล้ว ก็ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่าโรงพยาบาลเอกชนจะแตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐยังไงบ้าง
โรงพยาบาลเอกชน คืออะไร?
“ โรงพยาบาลในฝันของใครหลาย ๆ คน ”
ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้าใช้บริการ เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลส่วนบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นกับหน่วยงานรัฐบาล การดำเนินการเลยจะคล้าย ๆ กับโรงเรียนเอกชนหรือบริษัทเอกชนทั่ว ๆ ไป ที่ต้องการแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก ทำให้ค่ารักษาพยาบาลที่นี่ค่อนข้างสูง คนไข้ที่ไม่ได้ทำประกันสุขภาพไว้ จึงจำเป็นต้องออกค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด
ด้วยลักษณะการดำเนินการแบบนี้ จึงทำให้โรงพยาบาลเอกชนจะต้องคอยปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการอยู่เสมอ แถมบางครั้งยังมีการทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันส่วนลดหรือแพ็กเกจตรวสุขภาพแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นจุดดึงดูดและเชิญชวนให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการกับโรงพยาบาลนั้น ๆ
1. ข้อดีของโรงพยาบาลเอกชน
- สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากจำนวนคนที่มารอใช้บริการไม่ได้เยอะเหมือนโรงพยาบาลรัฐ ทำให้ขั้นตอนในการรักษา ตั้งแต่การลงทะเบียน ตอนรอพบหมอ รอรับยา และตอนชำระเงิน จึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
- ช่วงเวลาพบหมอค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้คนไข้ได้มีเวลาสอบถาม พูดคุย และปรึกษาหมอได้ยาวนานกว่า ไม่ว่าคนไข้จะต้องการรู้อะไรก็สามารถสอบถามได้แบบที่ไม่มีใครมาเร่งเร้า
- บริการดีทุกระดับประทับใจ เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องนี้ บวกกับสภาพแวดล้อมที่คนไข้ไม่ได้มีเยอะมาก จึงมีเวลาใส่ใจกับคนไข้ทุกคนมากเป็นพิเศษ
2. ข้อเสียของโรงพยาบาลเอกชน
- ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะถ้าต้องแอดมิท ค่าใช้จ่ายก็จะสูงมาก ๆ โดยเฉพาะค่าห้องที่จะแพงเป็นพิเศษ ไหนจะค่าหมอ ค่ายา ค่าอาหาร และค่าบริการอื่น ๆ อีก
- ถึงแม้จะใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน แต่ถ้าเลือกใช้สิทธิประกันสังคม ก็ต้องรอคิวค่อนข้างนานหลายชั่วโมง เนื่องจากคนรอใช้บริการเยอะ หากต้องการความสะดวกรวดเร็วจะต้องใช้ประกันสุขภาพ
ความแตกต่างระหว่างโรงพยาบาลรัฐกับเอกชน
ปัจจัยในการใช้บริการ | โรงพยาบาลรัฐ | โรงพยาบาลเอกชน |
ค่ารักษาพยาบาล | ค่อนข้างถูก | ค่อนข้างแพง |
ระยะเวลาในการรอคิว | รอนาน | รวดเร็ว |
ความสะดวกสบาย | ไม่ค่อยสะดวกสบาย | สะดวกสบายมาก |
การบริการ | บริการแบบทั่วไป | บริการและดูแลเอาใจใส่ดี |
สิทธิการรักษาที่เข้าร่วม | ประกันสุขภาพ, ประกันสังคม, บัตรทอง, 30 บาทรักษาทุกโรค และสวัสดิการข้าราชการ | ประกันสุขภาพ และประกันสังคม |
ประกันมะเร็ง FWD Easy E-Cancer ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
“ คุ้มครองทุกมะเร็ง ทุกระยะ ”
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย นอกจากมะเร็งจะเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาค่อนข้างยากแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ อีกด้วย จะดีกว่าไหมถ้าเรามีประกันที่คอยช่วยแบ่งเบาภาระ แบบที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล
- คุ้มครอง 5 ปี จ่ายเบี้ยประกันคงที่ทั้ง 5 ปี
- ตรวจพบมะเร็งครั้งแรก เคลมเงินก้อนได้ตามแพ็กเกจที่เลือกไว้
- คุ้มครองทันทีหลังรับเล่มกรมธรรม์ ภายใน 2 สัปดาห์
หลังจากที่ทุกคนรู้แล้วว่าโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนแตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียยังไงบ้าง ก็ตามมาดูกันต่อดีกว่าว่า ถ้าเกิดเราป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล จะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ค่าใช้จ่ายจำเป็นเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล
หลายคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์แอดมิทมาก่อน อาจไม่รู้เลยว่าหากวันนึงเกิดป่วยหนักขึ้นมา จนต้องแอดมิทและนอนโรงพยาบาล จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาล เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียแน่ ๆ อยู่แล้วถ้าเกิดป่วยขึ้นมา ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม โดยค่ารักษาจะขึ้นอยู่กับความยาก-ง่าย เทคนิค และเครื่องมือที่ต้องใช้ในการรักษา
- ค่าห้องพัก เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ป่วยหนัก ๆ จนต้องพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลนาน ๆ ก็ต้องคูณค่าห้องไปตามจำนวนวัน แถมห้องพักก็ยังมีให้เลือกหลายเกรด ตั้งแต่ห้องรวม ห้องพิเศษ ไปจนถึงห้องแบบ VIP ซึ่งจะมาพร้อมความสะดวกสบายที่ต่างกัน
- ค่าอาหาร เมื่อต้องแอดมิททางโรงพยาบาลก็ต้องดูแลเรื่องน้ำและอาหารให้กับคนไข้อยู่แล้ว ซึ่งจะเสิร์ฟเป็นอาหารที่เหมาะกับคนป่วยทั้งสิ้น 3 มื้อต่อวัน และโดยส่วนมากจะรวมอยู่ในราคาห้องพักต่อคืนอยู่แล้ว
- ค่ายา เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หนักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวยาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ก็จะถูกคิดในราคาที่สูงเป็นพิเศษ
- ค่าบริการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าพยาบาลที่คอยดูแล ค่าแม่บ้านที่คอยทำความสะอาด รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเครียดและกังวลเพราะกลัวว่า หากวันหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมาแล้วจะไม่มีเงินพอในการรักษา ถ้าใครไม่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นก็ทำตามเทคนิคข้างล่างได้เลย
ทำยังไงให้การเงินไม่สะดุดเมื่อต้องเข้าโรงพยาบาล
- ออมเงิน เป็นวิธีแรกที่ใครหลาย ๆ คนน่าจะทำกันอยู่แล้ว เพราะยังไงคนเราก็ต้องมีเงินออมเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งถ้าใครไม่ได้อยากใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะพอออมไหว แต่ถ้าใครเน้นใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องออมเยอะกว่าคนอื่นหน่อย
- ทำประกันสุขภาพ เป็นทางออกที่ดีและคุ้มค่า เพราะถ้าเอาค่าเบี้ยประกันไปเทียบกับค่ารักษาที่ต้องจ่ายจริง ในกรณีที่ไม่มีประกัน ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการรักษา แถมยังไม่ต้องมานั่งช็อกกับบิลค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย
“ สบายใจกว่าด้วยประกันสุขภาพ ”
ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ 5 รถคันเล็กที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง พร้อมด้วยเทคนิคการเลือกให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากที่สุด และใครที่ตัดสินใจเลือกรุ่นรถเล็กได้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมซื้อประกันภัยรถยนต์ดี ๆ ให้กับรถคันใหม่ด้วย และถ้าใครอยากถามเบี้ยประกัน รวมถึงรายละเอียดความคุ้มครองต่าง ๆ ก็สามารถให้ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิสเป็นผู้ดูแลในการเลือกแบบประกันภัยรถยนต์ที่ตรงใจและตอบโจทย์มากที่สุด เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้
แจ้งข้อมูลเพื่อให้บริษัทติดต่อกลับ
TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส โบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์
เราพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอนเพื่อให้คุณได้บริษัทประกันที่ตรงใจพร้อมแบบประกันภัยที่ตอบโจทย์ ประกันรถยนต์มีโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน* สนใจสมัครประกันภัยกับตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
*ผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ