ซื้อประกันชีวิตอย่างไรให้ตรงกับความต้องการของเรา

ซื้อประกันชีวิตอย่างไรให้ตรงกับความต้องการของเรา

หลายคนคงเคยประสบปัญหาที่ว่า ซื้อของมาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ หรืออาจจะใช้ไม่ได้เลยเพราะไม่ตรงกับความต้องการ การทำประกันชีวิตก็เหมือนกัน ทำอย่างไรไม่ให้รู้สึกว่าเสียเงินแล้วไม่ได้ประโยชน์ และจะมีวิธีเลือกซื้อประกันชีวิตอย่างไรให้เหมาะกับตัวเราและตรงกับความต้องการของเราจริง ๆ

วิธีที่จะช่วยในการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตได้อย่างเหมาะสมที่สุด คือ

1.ประเมินความต้องการ

ความต้องการทำประกันของแต่ละบุคคลล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ

อายุ

ประเมินความต้องการ

ต่างวัย ต่างความต้องการ เช่น วัยรุ่น ยังไม่ต้องการหลักประกันของชีวิต แต่พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงานมีรายได้จะเริ่มมองว่าการประกันชีวิตก็จำเป็นเหมือนกันนะ และเมื่อมาถึงวัยผู้ใหญ่ เริ่มสร้างครอบครัวจะรู้สึกว่าการทำประกันจำเป็นมากขึ้น และเมื่อคนเราก้าวเข้าสู่วัยอาวุโส เริ่มหาหมอบ่อยขึ้น ความต้องการซื้อประกันจะยิ่งมีมากขึ้นไปอีก เพราะอยากให้มั่นใจว่ามีเงินพอสำหรับค่ารักษาพยาบาล โดยไม่เป็นภาระของใคร

งบประมาณ

สำหรับบางคนที่อยากทำประกันยังอาจมีข้อจำกัด หรือติดขัดเรื่องงบประมาณ ความสามารถที่จะจ่ายค่าเบี้ยยังไม่มากพอเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ การทำประกันจำเป็นต้องเลือกรูปแบบที่อยู่ในงบและไม่รู้สึกว่าทำประกันแล้วลำบากมากกว่าเดิม

ไลฟ์สไตล์

ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต มีผลต่อเรื่องของสุขภาพและความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนั้นโรคนี้ เช่น คนที่ใช้ชีวิตสมบุกสมบัน ทำงานหนักไม่ดูแลตัวเอง มีความเสี่ยงมากกว่าคนที่รักษาสุขภาพ หากต้องการเลือกซื้อประกันชีวิตจำเป็นจะต้องเลือกกรมธรรม์ที่ครอบคลุมหลายโรค

2.เลือกประเภทประกันที่เหมาะสม

การทำประกันควรศึกษาข้อมูลของประกันประเภทต่าง ๆ เพื่อเลือกให้แมทช์กับตัวเรา มาดูกันว่าประเภทของประกันมีแบบไหนบ้าง

ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา

เลือกประเภทประกันที่เหมาะสม

ประกันประเภทนีเป็นการทำประกันชีวิตที่สามารถเลือกระยะเวลาได้ทั้งระยะเวลาที่ได้รับความคุ้มครองและระยะเวลาที่ต้องชำระค่าเบี้ยประกัน ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าต้องการเวลากี่ปี อาจจะเป็น 5 หรือ 10 ปีก็แล้วแต่เรา ในช่วงระหว่างระยะเวลาที่เลือกนี้ ถ้าผู้เอาประกันเสียชีวิต บริษัทประกันจะจ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เอาประกันจะไม่ได้รับทุนประกันคืนเมื่อหมดครบกำหนดระยะเวลา

การทำประกันแบบนี้มีข้อดีคือให้ความคุ้มครองสูง และค่าเบี้ยประกันต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการจ่ายค่าเบี้ยแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรองรับความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ต้องการ

ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ

เน้นความคุ้มครองชีวิตระยะยาว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันตลอดระยะเวลา ส่วนใหญ่จะเลือกจ่ายค่าเบี้ยเพียงแค่ 20 ปี แต่ให้ความคุ้มครองชีวิตจนถึงอายุ 99 ปี ถ้าหากว่าในระหว่างนี้ ผู้เอาประกันเสียชีวิตลง บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้กับผู้รับประโยชน์ แต่ถ้าผู้เอาประกันไม่เสียชีวิต เมื่ออายุถึงตามที่กำหนด ก็จะได้รับทุนประกันคืน

ข้อดีคือ เป็นการสร้างประกันที่มั่นคง เหมาะกับผู้ที่มีครอบครัวแล้ว ฐานะการเงินมั่นคงระดับหนึ่งและต้องการมีหลักประกันไว้สำหรับคนในครอบครัว เหมือนกับเป็นการทำมรดกไว้ให้

ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

เป็นการทำประกันที่มีรูปแบบคล้ายกับการออมทรัพย์ที่สามารถเลือกระยะเวลาในการออมได้ ไม่ว่าจะต้องการเก็บออมระยะสั้นหรือระยะยาว ผลตอบแทนที่ได้รับจะมากกว่าค่าเบี้ยประกันที่จ่ายชำระไป และยังได้ความคุ้มครองชีวิตด้วย เหมาะกับผู้ที่เริ่มทำงาน เริ่มสร้างฐานะ เพราะจะได้เก็บออมเงินและได้รับตอบแทนที่คุ้มค่า และสามารถเก็บเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคตที่ยาวไกลได้อีกด้วย

3.เปรียบเทียบเบี้ยประกันและผลประโยชน์

เมื่อเลือกประเภทของประกันได้แล้ว อย่าลืมพิจารณาข้อมูลของประกันแบบต่าง ๆ อย่างละเอียดเพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันและเงื่อนไขในการรับผลประโยชน์ว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินหรือไม่ และที่สำคัญก็คือการทำประกันแต่ละแบบมีข้อกำหนดและเงื่อนไขไม่เหมือนกัน เช่น บางกรณีเคลมได้ บางกรณีอาจเคลมไม่ได้ แบบไหนได้เงินคืน แบบไหนไม่ได้คืน เป็นต้น

4.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

อีกวิธีหนึ่งคือการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันชีวิต หรือตัวแทนที่สามารถให้คำแนะนำการทำประกันประเภทต่าง ๆ ได้ว่า ประกันแบบไหนที่เหมาะสม คุณสามารถบอกความต้องการ งบประมาณที่จ่ายได้เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญลองประเมินดูว่าประกันชีวิตแบบไหนที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้คุณได้รับหลักประกันที่มั่นคงและอุ่นใจอย่างแท้จริง

หากต้องการเลือกซื้อประกันชีวิตให้เหมาะสม เพียงนำเอาคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้ก็จะช่วยให้เลือกซื้อแบบประกันได้อย่างตรงใจและคุ้มค่า ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ